วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กวดวิชายอดฮิต

10 โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต
โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต วิชาเคมี : โรงเรียนกวดวิชาวรรณสรณ์ ครูอุ๊
หากจะ ติววิชาเคมี ถ้าไม่ติวกับ ครูอุ๊ – อุไรวรรณ ศิวะกุล โรงเรียนกวดวิชาวรรณสรณ์ ไม่รู้จะไปติวกับใครแล้ว วันแรกของการเปิดให้จองคอร์สสอนสด บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองมายืนรอหน้าโรงเรียนก่อนเวลาทำการเปิด ถ้าลงทะเบียนไม่ทัน หลายคนต้องยอมให้ลูกหลานเรียนผ่านวิดีโอ น้องๆ บอกในทิศทางเดียวกันว่า ครูอุ๊ มีเคล็ดลับการสอนเคมีที่ยากให้เข้าใจง่ายๆ พร้อมกับสอดแทรกลูกเล่น เรียนแล้วไม่รู้สึกเบื่อ แถมมีกิจกรรมให้นักเรียนได้มีส่วนร่วม และทีเด็ดสุดๆ คอร์สติวเข้มเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต4teen.mthai.com
โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต วิชาฟิสิกส์ : นีโอฟิสิกส์
ฟิสิกส์มีมากมายหลายแห่งให้เลือก แต่มีเพียง 2 สถาบันที่ขับเคี่ยวและอยู่ในดวงใจของน้องๆ นั่นคือ นีโอ ฟิสิกส์ กับ แอพพลายด์ฟิสิกส์ แต่แรงสุดในยุคนี้ต้อง อ.พิสิฎฐ์ วัฒนผดุงศักดิ์ แห่งนีโอ ฟิสิกส์ ซึ่งสั่งสมชื่อเสียงมายาวนาน แม้ว่าอาจารย์จะแก่วิชาการไปบ้าง ไม่ค่อยมีลูกเล่นมากนักเหมือนติวเตอร์ยุคใหม่ ทว่าเมื่อน้องๆ ได้เรียนและสัมผัสจะชื่นชอบตรงที่อาจารย์ได้ปูพื้นฐานฟิสิกส์จากยากให้เป็นง่าย ทำให้ผลการเรียนดีขึ้นและมีแนวโน้มสอบเข้ามหาวิทยาลัย Top 5 ของประเทศได้
โรงเรียนกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์
โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต วิชาฟิสิกส์ : โรงเรียนกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์
ส่วน สถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ ถึงแม้ว่า น.พ. ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เจ้าของสถาบันได้ตกเป็นข่าวคึกโครมว่ามีปัญหาด้านประสาท จนคาดกันว่าติวเตอร์หน้าใหม่จะแซงหน้า แต่ที่ไหนได้ น้องๆ ยังให้ความไว้วางใจ เพราะเนื้อหาหลักสูตรและคอร์สติวเข้ม รวมถึงลีลาการสอนของคุณหมอยังตอบสนองความต้องการของเด็กสายวิทย์ จนน้องๆ เอ่ยว่า ถึงจะเรียนผ่านเทปก็ยินดีควักกระเป๋าเข้านั่งเรียน
10 โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต
10 โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต
ภาพที่เห็นน้องๆ ต่อคิวยาวเหยียดที่หน้าสถาบันกวดวิชาเดอะเบรน ( ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น We by the brain ) เพื่อ เรียน วิชาวิทย์-คณิตฯ เป็นภาพที่ชินตาไปแล้ว โดยน้องๆ ให้เหตุผลในการเลือกเรียนที่นี่สั้นๆ ว่า ทีม ติวเตอร์สายวิทย์ ดูจากประวัติการศึกษา ดีกรีแต่ละท่านระดับปรมาจารย์ สไตล์การเรียนเน้นไม่เครียด เน้นเทคนิคการจำและตีโจทย์แบบฮาๆ ถึงแม้จะฮาแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยนะจ๊ะ ความรู้ น้องๆ ที่มาติวที่นี่หวังผลทำเกรดสูงๆ ระหว่างที่เรียนมัธยมปลาย เพราะเกรดนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดย We by the brain นี้เปิดสอนมาแล้วกว่า 25 ปี มีสาขาถึง 31 สาขา ทำให้สามารถ พิสูจน์ได้ดีถึงคุณภาพการสอนที่ทำให้น้องบอกกันปากต่อปาก ว่าเรียนที่นี่แล้วเอ็นท์ติด  ได้คณะตามที่ต้องการเลยล่ะ
โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต
โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต ชีวะวิทยา : โรงเรียนกวดวิชายูเรก้า
โรงเรียนกวดวิชายูเรก้า เชื่อว่า ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในบทเรียนที่ได้รับ จะทำให้นักเรียนสนุกกับ การเรียนรู้ได้อย่างยั่งยืน นอกเหนือจากความบันเทิงอย่างตื้นๆ ที่พบเห็นกันทั่วไป โรงเรียนกวดวิชายูเรก้า เชื่อว่า การเรียนรู้ของนักเรียนควรต้องใช้ทั้งสมองซีกซ้าย (วิทยาศาสตร์) และ สมองซีกขวา (ศิลปศาสตร์) อย่างสมดุล และถึงแม้ โรงเรียนกวดวิชายูเรก้า จะเน้นการเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์ แต่ก็ได้พยายามสอดแทรกเรื่องราวของศิลปะในการจัดการศึกษา ร่วมด้วย
โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต
โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต ภาษาอังกฤษ : สถาบันเอ็นคอนเซ็ปต์ ครูพี่แนน
ครูพี่แนน-อริสรา ธนาปกิจ แห่งสถาบันเอ็นคอนเซ็ปต์ ยังครองใจ เพราะลีลาการสอนที่ต่างจากสถาบันแห่งอื่น เน้นจุดขายด้านเอนเตอร์เทนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว นั่นคือ เพลงภาษาอังกฤษ ซึ่งแต่งขึ้นมาเอง ซึ่งเป็นหนึ่งในสื่อการ เรียนภาษาอังกฤษ แล้วแต่ละเพลงผู้เรียนจะได้เกร็ดความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ สำเนียงอังกฤษที่ถูกต้อง และรู้ความหมายของคำหรือประโยคนั้น นอกจากนี้ครูพี่แนน ยังคิดแผนภาพต้นไม้ แผนภูมิ เกี่ยวกับโครงสร้างภาษาอังกฤษ เพื่อให้นักเรียน จดจำง่ายๆ ซึ่งเป็นประโยชน์มากเวลาทำข้อสอบ
โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต
โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต ภาษาอังกฤษ : โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษครูสมศรี
ส่วน ครูสมศรี ธรรมสารโสภณ เจ้าของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษครูสมศรี กำลังมาแรง ซึ่งสไตล์ การสอนเน้นเอนเตอร์เทน ซึ่งสอดแทรกคำศัพท์ที่เราจะเจอในชีวิตประจำวันและในชั้นเรียน พร้อมกับสร้าง บรรยากาศภายในห้องเรียนให้เหมือนบ้านที่อบอุ่น น้องๆ หลายคนบอกคล้ายๆ กันว่า เรียนกับ ครูสมศรี นอกจากได้คำศัพท์ ศัพท์แสลงที่เจ้าของภาษา ใช้พูดกันแล้ว ครูสมศรียังมีแนวข้อสอบและเทคนิคในการสอบภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งเมื่อเรียนแล้วนำมาใช้ที่ โรงเรียนยอมรับว่าได้ผล เพราะผลการเรียนดีขึ้นจากเคยได้เกรด 2 ขยับขึ้นเป็นเกรด 3 และเกรด 4 เมื่อเกรด ดีขึ้นรู้สึกว่า อังกฤษ ไม่ได้ยากอย่างที่เคยกลัว
โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต
โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต วิทย์-คณิต : GSC อาจารย์สมาน แก้วไวยุทธ
อีกท่านหนึ่งที่ได้รับการขานรับอย่างดีโดยเฉพาะนักเรียนจากโรงเรียนยอดนิยม นั่นคือ อาจารย์สมาน แก้วไวยุทธ แห่งศูนย์วิทยาการวิทย์-คณิต GSC อดีตอาจารย์โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ส่วนเคล็ดลับ การสอนของอาจารย์สมาน ถูกอกถูกใจ โดยจะเน้นการสอนแบบไลฟ์สไตล์ ด้วยการนำเรื่องใกล้ตัว เช่น นำข่าวประจำวันมาประยุกต์เข้ากับเนื้อหาที่กำลังเรียน นอกจากนี้ ยังสรุปเนื้อหาสำคัญๆ หรือทำเป็นแผนภูมิได้อย่างกระชับ เทคนิคการสอนเหล่านี้ ทำให้เข้าใจง่ายและจำได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้อาจารย์ยังมีตัวอย่างข้อสอบมากมายมาให้นักเรียนฝึกฝน
โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต
โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต คณิตศาสตร์ : SUP K 
ยุคนี้ถ้าไปถามวัยเรียนว่าจะติวคณิตศาสตร์ที่ไหน ทุกคนต้องชี้ไปที่ Sup-K อ.ศุภฤกษ์ สกุลชัยพรเลิศ เนื่องด้วยอาจารย์สอนสนุก เรียนแล้วไม่รู้สึกเครียดหรือรู้สึกว่าคณิตเป็นวิชาหิน เวลาจะสอนเรื่องใดจะมีสื่ออุปกรณ์มาพร้อม นั่นหมายความว่า อาจารย์เอาใจใส่ที่จะถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกศิษย์ อีกทั้งอาจารย์จะมีสูตรหรือกลยุทธ์ ในการคิดคำตอบหลากหลายวิธี แต่ผลลัพธ์เหมือนกัน แล้วเริ่มสอนจากง่ายไปหายาก เพื่อไม่ให้รู้สึกว่า คณิตศาสตร์น่าเบื่อแต่เป็นวิชาที่น่าค้นหา
โรงเรียนกวดวิชายอดฮิต
ติวเตอร์ภาษาไทย ในดวงใจนักเรียน คงหนีไม่พ้น ครูปิง เจริญ ศิริวัฒน สถาบันกวดวิชา Da’vance กับ ครูลิลลี่ กิจมาโนชญ์ โรจนทรัพย์ โดย 2 ติวเตอร์ไฟแรง มีสไตล์การสอนคล้ายๆ กัน เน้นการสอน สบายง่ายๆ ยิงมุขตลกตลอดคาบเรียนให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วม มีเคล็ดลับในการทำข้อสอบ ที่โดนใจนักเรียนสุดๆ นั่นคือ มีคลังข้อสอบภาษาไทย ซึ่งตรงหรือใกล้เคียงกับข้อสอบที่ใช้ในการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย นี่เป็นผลสำรวจที่ได้จากคำตอบของน้องๆ ที่มีประสบการณ์จากการติวกับครู และสถาบันกวดวิชานี่ค่ะ

ตำนานยมทูต

        





ยมทูต   (อังกฤษ: Psychopomp (ออกเสียง)) “Psychopomps” มาจากภาษากรีกว่า ψυχοπομπός” (psychopompos) ที่แปลตรงตัวว่า ผู้นำวิญญาณเป็นจินตสัตว์ (creature), สิ่งที่มีจิตวิญญาณ (spiritual being), เทวดา, ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ในหลายศาสนาผู้มีหน้าที่พาวิญญาณผู้ที่เพิ่งสิ้นชีวิตไปยังดินแดนหลังความ ตาย (afterlife) หน้าที่นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการตัดสินผู้ตาย แต่เพียงนำทางเพื่อความปลอดภัย ยมทูตที่มักจะปรากฏในศิลปะเกี่ยวกับความตายจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ประเพณีและวัฒนธรรม บ้างก็เกี่ยวข้องกับม้า, กา, สุนัข, นกฮูก, นกกระจอก หรือกวาง

ตามหลักจิตวิทยาวิเคราะห์ของคาร์ล ยุง ยมทูตคือตัวกลางระหว่างจิตใต้สำนึกและจิตสำนึก บุคลาธิษฐานของยมทูตในฝันจะเป็นนักปราชญ์ หรือ สตรี หรือบางครั้งสัตว์ที่มีความกรุณา ในวัฒนธรรมบางวัฒนธรรมชาแมนจะ ทำหน้าที่เป็นผู้นำวิญญาณ ที่อาจจะรวมทั้งการนำวิญญาณของผู้เสียชีวิต หรือ ผู้เสียชีวิตอาจจะนำทางชาแมน ในการช่วยเหลือการกำเนิด หรือการนำวิญญาณของเด็กเกิดใหม่ให้เข้ามาในโลก(หน้า 36 ของ “Shamans in Eurasia”[1]) ที่เป็นการขยายความชื่อ หมอตำแยแก่ผู้กำลังจะสิ้นใจ” (midwife to the dying) ซึ่งเป็นอีกหน้าที่หนึ่งของผู้นำวิญญาณ


วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จับโกหก





1.สังเกตที่ขาของเขาดีๆ ยางทีอาจมีความลับอะไรซ่อนอยู่ 
ดู ให้ดีว่า ระหว่างที่คุณกัน หากหนุ่มๆของคุณนำขาไปไขว้ไว้ด้านหลังหรือรอบๆเก้าอี้ที่นั่งอยู่ นั่นแสดงว่าหนุ่มๆของคุณกำลังตั้งใจหรือมีวัตถุประสงค์จะเก็บซ่อนอะไร บางอย่างไว้ โดยเฉพาะความจริง

2. การนิ่งเงียบ
เมื่อ ไหร่ก็ตามที่คุณถามคำถามที่แสนจะธรรมดา หรือถามอะไรตรงๆบางอย่างกับเขา เช่น เมื่อคืนคุณไปไหนมาหรือ คุณกำลังโกหกอะไรฉันอยู่ถ้าเขาเลือกที่จะเงียบหรือเลือกที่จะทวนคำถามอีกครั้งหนึ่งก่อนตอบ นั่นแสดงว่าเขากำลังมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น

3. นิ้วหันแม่มือ หรือนิ้วโป้งจอมทรยศ

ถ้า เขายืนอยู่ในท่าที่เอาฝ่ามือซุกกระเป๋าแล้วหล่ะก็ ให้คุณสังเกตก่อนเลยว่า นิ้วหัวแม่มือของเขาอยู่ด้านในหรือด้านนอกกระเป๋า ถ้าอยู่ด้านใน นั่นแสดงว่าเขากำลังรู้สึกตะหนกกับอะไรบางอย่าง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วหล่ะว่าจะตีความว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น

4. เขาไม่สามารถโกหกได้หากต้องลำดับเหตุการณ์แบบย้อนหลัง
ถ้า คุณรู้สึกว่ากำลังเผชิญกับคนที่เล่าเรื่องให้คุณฟังแบบมีท่าทีน่าสงสัย ให้คุณพยายามถามคำถามกดดันเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นแบบไม่เรียบลำดับ เหตุการณ์ หรือสับไปสับมาจากหน้าไปหลัง  เพราะสำหรับคนที่พูดโกหกนั้นจะสามารถเล่าเรื่องตามลำดับ a b c d ได้เป็นอย่างดีไม่ติดขัด แต่ถ้าใหโกหกแบบ d c b a คงเป้นไปไม่ได้เลย

5. อาการยักไหล่
ถ้า หนุ่มๆกำลังพูดถึงบางสิ่งบางอย่างที่ดูหนักแน่น จริงจัง เช่น ผมอยู่กับเพื่อนของผมเมื่อคืนนี้พร้อมกับยักไหล่ไม่ว่าจะข้างนึงหรือสองข้าง แล้วมองไปทางอื่น กิริยาท่าทางแบบนี้เป็นการบ่งบอกว่าเขารู้สึกไม่รับรู้หรือให้คำมั่นกับสิ่ง ที่พูดไป 

6. คำว่า แต่เกิดขึ้นมากมายระหว่างการสนทนาของเรา

ลอง ดูประโยคเหล่านี้ ผมรู้ว่าคุณคงคิดว่าเป็นเรื่องแปลก แต่...หรือ คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าจะเกิดสิ่งนี้ แต่...ขอให้รู้ว่าคำพูดใดๆที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เป้นการโกหกคำโต

7. ลิ้นไม่สามารถอำพรางคำโกหก
ถ้า คุณถามคำถามบางข้อกับใครบางคน  แล้วทันใดนั้นเขาก็ตวัดลิ้น หรือเลียริมฝีปากก่อนตอบ นั่นแสดงว่าเขากำลังพยายามหาทางหลีกเลี่ยงการตอบคำถามนั้น

8. เขาพยายามจ้องตาคุณมากจนผิดสังเกต
บาง ครั้งคนโกหกก็มักจงใจที่จะจ้องตาคุณในระหว่างตอบคำถามเพื่อแสดงถึงความจริง ใจและความบริสุทธิ์ใจในการตอบคำถาม ดังนั้น คุณต้องพยายามพิสูจน์และหาให้ได้ว่าเขาไม่ได้โกหก

9.  การใช้มืออำพราง

ส่วน ใหญ่คนที่โกหกมักไม่ต้องการให้คุณตรวจพบความผิดปกติในตัวเขาได้ชัดเจน ดังนั้นเขาจะใช้วิธีเอามือมาปกปิดใบหน้า เช่น จับจมูก ขยี้ตา หรือจับคาง ทั้งนี้เพื่อต้องการบิดเบือนคำพูดที่ออกมา

ที่สุดในมัธยม

ม.1 : เห่อ รร.สุด ผมติ่งสุด ถูกระเบียบสุด เชื่อฟังครูสุด กลัวรุ่นพี่สุด ไม่กล้าโดดเรียน

ม.2 : กร่างสุด เรียนชิวสุด เป็นม.ที่ถูกลืมสุด ชอบหมั่นไส้เด็กม.1สุด เริ่มถเลถไล

ม.3 : ลังเลสุด ม.ต้นกูโตสุด เพื่อนเยอะสุด เซ้นซิทีฟเรื่องเพื่อนสุด กร่างที่สุดแล้ว

ม.4 : เห่อชุดม.ปลายสุด เห่อการเรียนพิเศษสุด ปรับตัวสุด เห่อสายรหัสสุด เห่อกิจกรรมสุด

ม.5 : เรียนหนักสุด หัวเลี้ยวหัวต่อสุด เรียนพิเศษเยอะสุด ดูเหมือนจะโตสุด แต่ก็เถลไถลสุด

ม.6 : เอนท์ ให้ ติด ดีที่สุด. จบ

กรุ๊ปเลือดบอกนิสัย

เรื่องเพื่อนของแต่ละกรุ๊ปเลือด

คนกรุ๊ป A มีเพื่อนสนิทน้อย แต่ก็มีแต่คนจริงใจ ไม่เสแสร้ง

คนกรุ๊ป B เพื่อนสนิทเยอะ จนบางทีเราก็แยกไม่ออกว่าคนไหนจริงใจ คนไหนเสแสร้ง

คนกรุ๊ป O มีปัญหาด้านการคบเพื่อนมากที่สุด วิธีแก้ปัญหาคือ "เลิกนิสัยหัวรั้น"

คนกรุ๊ป AB ไม่ค่อยแคร์กับเรื่องเพื่อนมากเท่าไร คบได้หมด แต่ไม่เอาคนเสแสร้งนะ เกลียดโคตร !


ความเรียบร้อยของแต่ละกรุ๊ปเลือ

- คนกรุ๊ป AB เรียบร้อยเฉพาะกริยา แต่วาจาไม่เรียบร้อย

- คนกรุ๊ป O จะทำตัวเรียบร้อยเฉพาะเวลาอยู่กับผู้ใหญ่ เวลาอื่น *ขอไม่กล่าว*

- คนกรุ๊ป B เวลาอยู่คนเดียวกลับทำตัวเรียบร้อยซะงั้น(?) แบบว่า..ไม่มีเพื่อนแล้วจะปล่อยตัวตามสบายได้ไง

- คนกรุ๊ป A เวลาอยู่คนเดียวจะทำตัวคล้ายมีเพื่อนอยู่ด้วยเยอะๆ ชิลมาก ปล่อยตัวตามสบายอย่างไม่น่าเชื่


ที่สุดของที่สุดของที่สุด

A : คิดมากที่สุด มองโลกในแง่ร้ายที่สุดอกหักมากที่สุด หวั่นไหวที่สุด ฟอร์มจัดที่สุด ขี้บ่นที่สุด

B : ปากเสียที่สุด มองโลกในแง่ดีที่สุด ชอบคิดไปเองมากที่สุด เหมือนเด็กที่สุด ชิวที่สุด น่ารักที่สุด กินเก่งที่สุด

O : เป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุด มนุษสัมพันธ์ดีที่สุด โมโหแล้วน่ากลัวที่สุด ชอบเก็บอะไรมาคิดแล้วจำฝังใจที่สุด

AB : แปลกที่สุด มีเหตุผลที่สุด ปากตรงกับใจที่สุด รักเดียวใจเดียวที่สุด เย็นชาที่สุด ติดโลก social ที่สุด


ผู้ชายแต่ละกรุ๊ป ...

A : ชอบงอน แต่ก็ช่างเอาใจ
B : ชอบอ้อน แต่หึงแล้วดุ
O : หื่น แต่น่ากอด
AB : โหด แต่อบอุ่น


ผู้หญิงแต่ละกรุ๊ป ..

A : ขี้บ่น แต่ก็ใจดี
B : ชอบเพ้อ แต่ก็น่ารัก
O : ชอบอ้อน แต่ก็หึงแรง
AB : ชอบประชด แต่อ่อนโยน



ถ้าน้อยใจ

A : "ไม่ต้องมายุ่ง!!"
B : ประชดตลอด
O : เงียบ ไม่พูด
AB : ทำเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้นแต่ข้างในเตรียมจะระเบิด


แพ้คนแบบไหน

A : แพ้คนขี้อ้อนและน่ารัก
B : แพ้คนออเซาะช่างเอาอกเอาใจ
O : แพ้คนตามใจและกวนตีน
AB : แพ้คนเย็นชา นิ่งแต่อบอุ่น

ข้อดีของการอกหัก

1. ประหยัดค่ามือถือ (แม้โทรนาทีละ 50 สตางค์ก็เถอะ)

2. ไม่ต้องรีบกลับบ้าน (เผื่อเขาโทรมาเช็คว่าอยู่หรือเปล่า)

3. ไม่ต้องห่วงใคร (ไม่มีใครให้ห่วงแล้วนี่นา)

4. ไม่ต้องคิดถึงใคร (พื้นที่ในห้องใจว่างขึ้นเยอะเชียว)

5. ไม่ต้องรายงานตัว (เลิกเป็นนักเรียนประถมเสียที)

6. ฟังเพลงเศร้าเพลงไหน เป็นโดนใจทุกเพลง (ก็แห้วอยู่แล้วนี่)

7. อาจจะผอม (กินน้ำตาแทนข้าวมาหลายมื้อ)

8. มีเวลาว่างเยอะแยะ (ดีแล้วไม่ต้องเดินตามใครต้อยๆ)

9. ไม่ต้องกลัวว่าจะพูดอะไรผิดหู (พอกันทีกับการทำตัวคิขุ)

10. ไม่ต้องลุ้นเวลาเช็คเมลว่า มีของเค้าหรือเปล่า

11. ได้เป็นตัวเองอีกครั้ง ทำอย่างที่รู้สึกพอใจจริงๆ

12. ได้เวลาเปิดตัวกิ๊กใหม่ซะที (ปิดมานาน)

ปฏิเสธคนให้เป็น

1. เคารพความรู้สึกของตัวเอง
          เชื่อแน่นอนว่าการที่คุณจะปฏิเสธอะไรสักอย่างนั้น เท่ากับว่าสิ่ง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่คุณไม่อยากยุ่งเกี่ยว หรือวุ่นวายด้วย ดังนั้นเมื่อคุณมีความรู้สึกเช่นนั้น ก็ควรที่จะเคารพความรู้สึกของตัวคุณเอง เพราะหากคุณตอบรับกับสิ่งนั้น ๆ ไปแล้ว จะส่งผลทำให้คุณหมดความสนุก ไม่มีความสุขกับมันเลย
2. คิดถึงสิ่งที่จะตามมา
          ให้คุณคิดอย่างรอบคอบ คิดอย่างละเอียดถึงสิ่งที่คุณทำ ให้ลองคิดดูว่าหากคุณลองตอบตกลงไปแล้วนั้น สิ่งที่คุณจะต้องประสบพบเจอนั้นมีอะไรบ้าง ขณะเดียวกันหากคุณปฏิเสธ จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า ลองคิดและเปรียบเทียบกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น
3. มั่นใจว่าปฏิเสธแล้วไม่ส่งผลกระทบ
          ในการที่คุณจะปฏิเสธกับสิ่งใด ๆ ก็แล้วแต่ คุณควรที่จะตระหนักถึงผู้ชวนหรือผู้ให้ด้วย ว่าหากคุณทำการปฏิเสธไปแล้ว จะส่งผลกระทบอะไรกับเขาหรือไม่ อย่างน้อย ๆ ก็เพื่อให้เป็นการรักษาน้ำใจของเขาคนนั้นเอาไว้
4. หาวิธีบอกปฏิเสธให้เหมาะสม
          เมื่อคุณถูกชักชวนให้ไปไหนหรือทำอะไร ก็อาจจะเจอวิธีการชักชวน ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการชวนต่อหน้า ชวนทางโทรศัพท์ ชวนทางอีเมล์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นแล้วเวลาที่คุณตอบกลับไป ก็ควรจะเลือกตอบให้เหมาะสม หรือให้เขารับรู้ได้ดีที่สุด
5. มีเหตุผลในการปฏิเสธ
          คุณควรบอกเหตุผลในการปฏิเสธเพียงสั้น ๆ เท่านั้น เอาแบบสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ใจความ อย่าเยิ่นเย้อ เพราะนั่นจะยิ่งทำให้ดูน่ารำคาญและไม่จริงใจ เหมือนพยายามหาข้ออ้างมาปฏิเสธมากกว่า
6. ตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ
          วิธีนี้ถือเป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ชักชวนรู้สึกเสียน้ำใจน้อยที่สุด แถมยังจะช่วยให้เขาเข้าใจถึงเหตุผลที่คุณปฏิเสธได้ดีอีกด้วย
7. มีตัวช่วยในการปฏิเสธ
          หลาย ๆ ครั้งที่คุณไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ด้วยตัวของคุณเอง หรืออาจจะยังกล้า ๆ กลัว ๆ ลองให้คนอื่นเป็นคนบอกปฏิเสธแทนคุณ ก็เข้าท่าอยู่ไม่น้อย
8. ทำตัวเองให้ยุ่งเข้าไว้
          อีกหนึ่งวิธีที่หลีกเลี่ยงและทำให้คุณปฏิเสธได้อย่างสมเหตุสมผล คุณต้องทำตัวเองให้ยุ่งวุ่นวายเข้าไว้ โดยอาจจะอ้างเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว หรือเรื่องใด ๆ ก็แล้วแต่
9. เขียนระบายอารมณ์ซะก่อน
          คุณเชื่อหรือไม่ว่า การเขียนสิ่งที่คุณไม่อยากทำ หรือเขียนระบายความในใจถึงสิ่งที่คุณกำลังจะปฏิเสธ จะช่วยให้คุณรู้สึกดีมากขึ้น ที่สำคัญยังทำให้คุณได้คิดไตร่ตรองว่าควรจะตอบตกลงหรือปฏิเสธมากกว่ากัน
10. ยื้อเวลา
          ลองวิธีแบบง่าย ๆ สั้น ๆ ด้วยการยื้อเวลาในการตอบตกลงไปเรื่อย ๆ ทำเป็นไม่สนใจบ้าง บ่ายเบี่ยงการให้คำตอบบ้าง ก็ช่วยคุณได้เยอะเลยล่ะ
11. ไม่ต้องตอบกลับแต่อย่างใด
          หากคุณมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ จนแทบจะไม่มีเวลาตอบอะไรใครทั้งนั้น ก็ไม่ต้องกังวลไป ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นก่อน หรือไม่ก็เลือกตอบแต่เรื่องที่สำคัญ ๆ เท่านั้นจะดีกว่า


ตัดผมให้เข้ากับรูปหน้า

ใบหน้ารูปไข่ เป็นรูปหน้าที่สามารถทำได้ทุกทรง ทั้งผมยาว ผมสั้น ผมดัดหรือผมตรง โดยควรตัดผมให้มีเลเยอร์บริเวณคางหรือโหนกแก้ม เพื่อเน้นความเด่นของใบหน้า และหลีกเลี่ยงการทำทรงผมที่เน้นน้ำหนักบริเวณส่วนบนของศีรษะ เพราะจะทำให้ใบหน้าดูยาวกว่าปกติ
  UploadImage


สำหรับใบหน้ายาว ควรทำทรงผมที่พองฟูเพื่อสร้างความสมดุลให้ใบหน้า เช่น การดัดผม หรือทำผมบ็อบความยาวระคาง และไม่ควรไว้ผมยาวมากเกินไปหรือตัดผมให้สั้นมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ใบหน้าดูยาว
  UploadImage

แต่ถ้าใบหน้ากลม ไม่ควรทำทรงผมที่พองฟู เนื่องจากจะยิ่งทำให้ใบหน้าดูกลมโตมากยิ่งขึ้น ควรเลือกทรงผมที่ทำให้ใบหน้าดูยาว เช่น ตัดผมให้ความยาวเลยคางมาเล็กน้อยและซอยเป็นชั้นๆ หลีกเลี่ยงการตัดผมสั้นเกินไป หรือตัดผมทื่อๆ โดยไม่มีการซอยเพื่อสร้างเลเยอร์
  UploadImage
 

ส่วนใบหน้าเหลี่ยม ให้เลือกทำทรงผมที่ไม่ดึงความสนใจไปยังแนวกราม เช่น ผมยาวเลยแนวกรามมาเล็กน้อย โดยจะดัดหรือไม่ดัดก็ได้ ส่วนทรงผมที่ไม่ควรทำคือ ผมบ็อบสั้นและการสวมที่คาดผม เพราะจะแสดงให้เห็นแนวกรามชัดเจน
   UploadImage

ปิดท้ายด้วยใบหน้ารูปหัวใจ ซึ่งเป็นใบหน้าที่ดูน่ารัก แต่แนวคางที่แหลมก็ดึงความสนใจไปจากดวงตา ผู้ที่มีใบหน้ารูปหัวใจจึงควรทำทรงผมที่ช่วงบนศีรษะเด่น เช่น ผมไล่ระดับที่ส่วนบนศีรษะ
UploadImage  

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คอร์ติซอล




คอร์ติซอล (cortisol) เป็นฮอร์โมนที่จำเป็น (essential hormone) ที่มีความสำคัญต่อชีวิต ถ้าขาดฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์ซึ่งเป็นฮอร์โมนจำเป็นจะมีผลอย่างมากต่อเซลล์ของร่างกาย
หน้าที่
    1. เพิ่มระดับน้ำตาลในกระแสเลือด กลูโคคอร์ติคอยด์ได้ชื่อว่าเป็นฮอร์โมนแห่งการอดอาหาร (hormone of starvation) เพราะว่าจะกระตุ้นเซลล์ตับให้เปลี่ยนกรดไขมันและกรดอะมิโนบางตัวเป็นกลูโคส และเก็บสะสมไว้ในรูปของไกลโคเจน (gluconeogenesis) เรียกว่า กลูโคส สแปริ่ง เอฟเฟ็ก (glucose – sparing effect) ซึ่งเป็นขบวนการที่สำคัญ เพราะจะมีผลในการเผื่อน้ำตาลกลูโคสไว้ให้สมองใช้งานได้ตลอดเวลา

     2. กดระบบภูมิคุ้มกัน (immunosuppressive effect) ยับยั้งกลไกการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยลดการสลัดอวัยวะที่ปลูกถ่าย (organ rejection) แต่กลูโคคอร์ติคอยด์จะไม่มีผลต่อภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากภายนอก เช่นการได้รับวัคซีนที่เป็นอิมมูนต่างๆ (immune)
     3. ต่อต้านการอักเสบ (anti inflammatory effect) โดยการลดการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาว ไปยังบริเวณที่อักเสบ ลดการเกิดหนอง (exudation) และลดการแพ้สารต่างๆ โดยยับยั้งการหลั่งฮีสตามีน
แต่เนื่องจากระบบป้องกันตนเอง (defense mechanism) ถูกยับยั้งด้วย ทำให้เกิดผลเสียคือ ทำให้มีการแพร่กระจายของเชื้อโรค ทำให้ติดเชื้อง่าย และทำให้ลดภูมิคุ้มกันต่อเชื้อแบคทีเรีย(helicobacter pylori) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร เพราะทำให้เกิดแผลในกระเพาะ ความเข้าใจเดิมมีอยู่ว่า ว่าโรคกระเพาะเกิดจากการมีกรดมากเกินไปเท่านั้น    เราต้องระวังในการรับประทานสเตรอยด์ทั้งผู้ชายและผู้หญิง

โปรเจสเตอโรน

  



ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน
โปรเจสเตอโรน (Progesterone) ถูกสร้างโดยรังไข่ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาสร้างโดยรกเมื่อรกเจริญเต็มที่แล้วค่ะ โดยจะทำงานร่วมกันกับเอสโตรเจน ซึ่งในการทำงานของฮอร์โมนก็มีทำงานกันแบบส่วนตัวบ้าง ทำงานร่วมกัน หรือประสานงานกันเป็นทีมบ้าง มีทั้งช่วยสนับสนุนส่งเสริมกัน หรือบางครั้งก็ไปยับยั้งฤทธิ์ของฮอร์โมนตัวอื่นเพื่อไม่ให้ออกฤทธิ์ในช่วง ที่ไม่จำเป็น

ผลที่เกิดจากการทำงานของโปรเจสเตอโรนคือ จะไปลดความตึงตัวของเนื้อเยื่อต่างๆ อย่างเช่นเอสโตรเจนจะไปทำให้มดลูกขยายและพร้อมจะมีการหดรัดตัว แต่โปรเจสเตอโรนจะไปยับยั้งอาการ ทำให้มดลูกยังไม่มีการหดรัดตัวมาก เพื่อให้ทารกมาฝังตัวที่มดลูกได้ ไม่แท้งออกไป แต่โปรเจสเตอโรนจะลดต่ำลงในช่วงใกล้คลอดเพื่อให้มดลูกสามารถหดรัดตัว และคลอดทารกน้อยออกมาได้นั่นเอง

โปรเจสเตอโรนยังทำงานร่วมกันกับเอสโตรเจนในการปรับเยื่อบุโพรงมดลูกให้เหมาะ สมแก่ การฝังตัวด้วย คือ ทำให้หนาขึ้น มีเส้นเลือดมาเลี้ยงดีขึ้น ฯลฯ และยังทำให้แม่ท้องมีการสะสมไขมันมากขึ้นสำหรับใช้เป็นพลังงาน เป็นแหล่งของสารอาหาร สำหรับการตั้งครรภ์และลูก และยังจับมือกับเอสโตรเจนเตรียมเต้านมให้พร้อมสำหรับการมีลูก ให้มีท่อน้ำนมมากขึ้น ขยายใหญ่ขึ้น ต่อมน้ำนมโตขึ้น มีเซลล์ที่สร้างน้ำนมเยอะขึ้น เป็นการเตรียมการผลิตให้พร้อม เพื่อที่หลังคลอดจะได้ใช้ได้ทันที

นอกจากนี้โปรเจสเตอโรนยังทำให้กล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อยืดขยาย นี่แหละค่ะสาเหตุที่ทำให้เราปวดเมื่อยง่ายไม่ค่อยมีแรง
โปรเจสเตอโรนยังกระตุ้นให้ร่างกายปรับตัว หายใจเร็วขึ้น เพื่อเอาออกซิเจนเข้าสู่ปอดเยอะๆ มีการแลกเปลี่ยนบ่อยๆ เลยมีผลทำให้เหนื่อยง่าย และยังจะไปช่วยยับยั้งการสร้างน้ำนมของเต้านม ยังไม่ให้สร้างระหว่างท้องด้วยค่ะ
ในช่วงหลังคลอดฮอร์โมนทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะลดต่ำลง เพราะว่าฮอร์โมนทั้งคู่นี้สร้างจากรก หลังคลอดรกหลุดออกไป ฮอร์โมนทั้งสองตัวนี้ก็เลยหายไปด้วยค่ะ และจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกรูปแบบหนึ่งในช่วงหลังคลอด

อะดรีนาลีน



 
  อะดรีนาลีน มีผลต่อร่างกาย คือ
  1. ผลโดยตรงต่ออวัยวะในระบบประสาทอัตโนวัติ (ระบบประสาทที่อยู่นอกอำนาจจิตจัย) จะทำให้เกิดการทำงานมากขึ้นครับสำหรับระบบประสาทซิมพาเทติก (ระบบประสาทเวลาสู้) เช่น
   - หัวใจเต้นแรงขึ้น เร็วขึ้น (เพิ่มการสูบฉีดเลือดเตรียมสู้-หนี)
   - ความดันโลหิตสูงขึ้น
   - รูม่านตาเบิกกว้าง (เพื่อให้มองเห็นศัตรูชัด)
   - หลอดลมขยาย (เพื่อให้รับออกซิเจนได้เต็มที่)

2. ผลการกระตุ้นสมอง จะทำให้สมองหลั่งสารสื่อประสาทอื่นๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นความสามารถต่างๆ รวมทั้งการเลื่อน set point ของอุณหภูมิจาก 37 องศา ขึ้นไปด้วย เพื่อรองรับการเผาผลาญที่เพิ่มขึ้นในข้อ 3)

3. ผลต่อเมแทบอลิซึม..เนื่องจากข้อ 1) ต้องใช้พลังงานเยอะมาก การให้อีพิเนฟรินจะส่งผลให้เกิดการที่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นโดยการ

   - สลายไกลโคเจน (น้ำตาลสำรองในกล้ามเนื้อ/ตับ) ให้เป็นกลูโคสเพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
  - สลายไขมันและเพิ่มการใช้พลังงานจากไขมัน (สร้างน้ำตาลจากสารที่ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรต)
  - เพิ่มอัตราการเปลี่ยนกรดอะมิโนเป็นกลูโคสและสารคาร์โบไฮเดรต (สร้างน้ำตาลจากสารที่ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรต)
  - ความร้อนในร่างกายจะสูงขึ้น เพราะ การเผาผลาญในร่างกายสูงขึ้นมาก

เอสโตรเจน




            ฮอร์โมนสำคัญของเพศหญิงคือเอสโตรเจน ทำให้เกิดความอ่อนหวาน ผิวพรรณเนียนนุ่ม มีเต้านม เตรียมพร้อมเป็นแม่ เอสโตรเจนมีผลต่ออวัยวะภายในของเราทุกระบบ ที่สำคัญคือสมอง ที่ช่วยในเรื่องความจำเสื่อม เต้านมจะช่วยผลิตน้ำนม และกระตุ้นให้เกิดความเจริญเติบโตเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว หัวใจกับตับ ควบคุมการสร้างคอเลสเตอรอล เป็นตัวช่วยไม่ให้เกิดเมือกไขมันอุดตันในเส้นเลือด

       ในส่วนของรังไข่คือกระตุ้นให้เกิดประจำเดือน หรือมดลูก ทำให้มีการฝังตัวของตัวอ่อน ช่องคลอดสร้างน้ำเมือกออกมา กระดูก ช่วยลดการเกิดภาวะกระดูกพรุน เพราะฉะนั้นเวลาผู้หญิงเข้าสู่วัยทองจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ผู้หญิงวัยทองจึงเกิดปัญหาด้านอารมณ์ จิตใจ เพราะฮอร์โมนมีเอฟเฟคต่อสมองปัญหาขี้หลงขี้ลืม ความจำเสื่อมก็เกิดจาสมอง มีปัญหากระดูกพรุน เพราะมีเอฟเฟคจากกระดูกนั้นเอง เพราะฉะนั้นเอสโตรเจนจึงเป็นตัวสำคัญในการป้องกันโรค เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกระดูกพรุน

      ถ้าเมื่อไหร่ที่ไม่มีเอสโตรเจน จะเกิดอาการตรงข้ามกับข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมด อายุที่มากขึ้น ทำให้ร่างกายผลิต Estrogen น้อยลง สำหรับหญิงวัยหม ดประจำเดือน ก็จะเจอปัญหานี้ ร่างกายก็จะขาด Estrogen ไปโดยปริยาย ทำให้ผมร่วง หัวล้าน




เซโรโทนิน





                   ถ้าพูดถึงสารตัวหนึ่งที่ร่างกายผลิตออกมาแล้วให้ความสุขกับร่างกาย หลายคนนึกถึงสารเอ็นโดฟินส์ แต่เชื่อไหมว่านอกจากสารเอ็นโดฟินส์แล้วยังมีสารเซโรโทนินอีกด้วย
                 สมองจะผลิตสารเซโรโทนินในช่วงเวลากลางวันเท่านั้น ซึ่งเมื่อเราตื่นขึ้นมาพบแสงสว่างจากดวงอาทิตย์เส้นประสาทหลังลูกตาก็จะส่งสัญญาณไปยังต่อมไพเนียล ที่อยู่เหนือสมอง ซึ่งต่อมไพเนียลได้รับสัญญาณก็จะเริ่มในการสร้างสารเซโรโทนิน
                 ซึ่งสารเซโรโทนินเปรียบได้กับระบบเข็มนาฬิกาของสมอง เพราะเป็นสารที่ช่วยให้การทำงานของสมองนั้นทำงานได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และยังกระตุ้นให้อวัยวะต่างๆของร่างกายทำงานอย่างกระฉับกระเฉง ทำให้เรานั้นรู้สึกอารมณ์ดี แจ่มใสได้ตลอดทั้งวัน
                            เพราะฉะนั้นถ้าอยากอารมณ์ดี และก็ร่างกายกระฉับกระเฉงก็ต้องทานอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย ออกกำลังกายบ้าง และก็อย่าลืมออกไปโดนแสงแดดเช้าๆบ้างนะคะ ร่างกายคุณจะได้หลั่งสารเซโรโทนินได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

เอ็นโดรฟิน




           ฮอร์โมนเอ็นโดรฟิน  เป็นฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตขึ้นเมื่อเราเกิดความสุขใจ หรือเมื่อเกิดความปีติสุข เช่น การนั่งสมาธิ สวดมนต์ การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน การออกกำลังกาย การฟังดนตรี การทำงาน ศิลปะ การได้รัก ได้สัมผัสถ่ายทอดความรักซึ่งกันและกัน กระทั่งการได้ร่วมรักกับคนที่เรารัก (โดยพบว่ามีการหลั่งสารเอ็นโดรฟินอย่างมากในช่วง orgasm) ดังนั้นกิจกรรมใดก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกเป็นสุขย่อมมีส่วนส่งเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายได้เสมอ เอ็นโดรฟินเป็นอาวุธที่ธรรมชาติได้มอบให้มนุษย์นำไปใช้ทลายกำแพงความเครียด ความทุกข์ เราจึงควรหากิจกรรมที่ทำให้เกิดความสุขเพื่อเป็นอาวุธประจำกายของตัวเราเอง

ในขณะเดียวกัน คุณเชื่อหรือไม่ว่า แค่ คำว่า รักจากคนที่รัก ความอิ่มเอิบ เบิกบาน โลกทั้งใบสดสวยด้วยสีชมพู มันก็สามารถทำให้คนเรานั่งยิ้มได้คนเดียวทั้งวัน และเคยสังเกตไหมว่า ในวันที่คุณรู้สึก ร้อนๆ หนาวๆ แทบลุกจากเตียงไม่ได้ ยาพาราอาจช่วยบรรเทาอาการได้ แต่การกุมมือพร้อมแววตาที่ห่วงใย หรือแม้แต่การแสดงออกถึงความรัก และความห่วงใยจากคนที่เรารักทุกๆ วิธี  จะช่วยให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ช่วยลดอาการเจ็บปวด เพิ่มภูมิต้านทานโรค ลดความตึงเครียด ช่วยสมานแผล ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังนั้น ความรักกับการหลั่งของสารเอ็นโดรฟินจึงมีความหมายที่สัมพันธ์กัน

โดปามีน




         โดปามีน (dopamine) เป็นสารเคมีที่พบตามธรรมชาติในร่างกายซึ่งสังเคราะห์โดยเนื้อเยื่อประสาทและต่อมหมวกไตเป็นส่วนใหญ่ ทำหน้าที้เป็นทั้งสารสื่อประสาทและฮอร์โมน นอกจากนี้ยังเป็นสารตั้งต้นของการสังเคราะห์ นอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine หรือ noradrenaline) และ เอพิเนฟริน (epinephrine หรือ adrenaline)

          โดปามีน (dopamine) ในสมองที่ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทจะกระตุ้นโดปามีนรีเซปเตอร์ (dopamine recetor) ในระบบประสาทซิมพาเทติค (sympathetic nervous system) ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้โคปามีนยังมีบทบาทเป็นฮอร์โมนที่หลั่งโดยไฮโพทาลามัส (hypothalamus) เพื่อยับยั้งการหลั่่งโปรแลคติน (prolactin) จากต่อมพิทุอิทารี่ส่วนหน้า (anterior lobe of the pituitary) แต่เพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต (growth hormone)

          บทบาทของโดปามีน (dopamine) จะทำหน้าที่ในการควบคุมอารมณ์ การเรียบเรียงความนึกคิด การทำหน้าที่ของสมองในการควบคุมการเคลื่อนไหว ซึ่งถ้ามีการเสียสมดุลระหว่างแอซิติลโคลีน (acetylcholine) กับ โดปามีน (dopamine) จะทำให้เป็นโรคพาร์กินสัน (Parkinson's disease) ที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุทั้งเพศชายและหญิง เนื่องจากการขาดสารโดปามีน (dopamine) ในสมองเพราะมีการเสื่อมและตายของเซลล์สมองในตำแหน่งที่สร้างสารโดปามีน

เทสโทสเตอโรน



เทสโทสเตอโรน (Testosterone)
"เทสโทสเตอโรน" เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นฮอร์โมนเพศที่สำคัญที่สุดของผู้ชาย ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นความต้องการทางเพศให้ตื่นตัวขึ้น แต่ทว่า...เจ้าเทสโทสเตอโรน ยังมีบทบาทอื่น ๆ ที่สำคัญกับสุขภาพร่างกายของหนุ่ม ๆ อีกด้วย

 - 
ทำให้คุณคิดถึงเรื่องเพศ

          
ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนมีส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาสมองตั้งแต่เรายังเป็นตัวอ่อนอยู่ในครรภ์มารดาเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะความสามารถในการคำนวณพื้นที่และทักษะด้านคณิตศาสตร์ ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้ชายชอบพิจารณาเรื่องรูปร่างและขนาดหน้าอกผู้หญิง รวมทั้งเสื้อผ้าที่พวกเธอเลือกใส่ด้วย

 - 
สร้างความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจ

          
เมื่ออายุเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น พัฒนาทางร่างกายภายนอกของผู้ชายจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่เริ่มทุ้มใหญ่ ขนตามร่างกายก็เริ่มขึ้น รวมทั้งเริ่มสนใจเพศตรงข้ามมากขึ้น 

 - 
เทสโทสเตอโรนมีผลต่อความต้องการในตัวคู่ครอง

          
เทสโทสเตอโรนส่งผลกระทบต่อความรู้สึกนึกคิด และความคาดหวังในตัวที่มีต่อคนรัก เช่น ชายที่มีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ (แต่ไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน (มักมีความสุขกับการลงหลักปักฐานใช้ชีวิตครอบครัวอย่างเรียบง่ายกับภรรยา แต่กลับกันสำหรับคนที่มีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนสูง (มาก) พบว่ามีปัญหาการหย่าร้างมากกว่า รวมทั้งแอบนอกใจไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยอีกด้วย นอกจากนี้ยังคิดว่าการแต่งงานเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเสมอ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าชายทั้งสองกลุ่มมีความต้องการในปริมาณที่ต่างการ
   
เทสโทสเตอโรนเกิดจากการสังเคราะห์ของคอเลสเตอรอล

          
โดยคอเลสเตอรอลจะเริ่มมีการเปลี่ยนสภาพเป็นโปรเจสเตอโรนก่อน จากนั้นเอนไซม์จะสังเคราะห์ออกมาเป็นฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในท้ายที่สุด

การยกน้ำหนักช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนได้

          
ทางด้านผู้เชี่ยวชาญค้นพบว่า ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนของผู้ที่ออกกำลังด้วยการยกน้ำหนักสูงขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งนั่นหมายความว่าการออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรง (Strength training) เพื่อเสริมกล้ามเนื้อและความแข็งแกร่งด้วยวิธีการต่าง ๆ มีผลทำให้เทสโทสเตอโรนเพิ่มขึ้น

          
เมื่อได้อ่านสาระน่ารู้เกี่ยวกับเทสโทสเตอโรนกันไปเรียบร้อยแล้ว คงช่วยให้เพื่อน ๆ เข้าใจคุณสมบัติของฮอร์โมนชนิดนี้ได้ไม่มากก็น้อย แล้วคราวหน้าถ้ามีข้อมูลอะไรดี ๆ เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายใหม่ ๆ มาอีก เราจะนำมาบอกเล่าให้คุณได้ทราบกันอย่างแน่นอนคะ